PEOPLE : START UP
การจัดการทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นจากพนักงานเพียงไม่กี่คน
โดยคนหนึ่งคนอาจทำหน้าที่ในหลายฟังก์ชั่นการทำงาน แน่นอนว่าหลาย ๆ ที่เริ่มต้นด้วยการไม่มี HR
ทั้งนี้การวัดผลของการเติบโตไม่ใช่เพียงแต่การที่บริษัทขยายตัวเท่านั้น เพราะองค์กรเองต้องเติบโตไปพร้อมกับทรัพยากรมนุษย์ หรือเรียกได้ว่าโตทั้งคน โตทั้งองค์กร และโตไปแบบควบคู่กัน หากวันใดวันหนึ่งบริษัทโตขึ้น แต่พนักงานไม่ได้มีความสุขที่จะอยู่กับองค์กร การโตครั้งนี้อาจนับได้ว่าเป็นการโตที่ไม่เกิดประสิทธิผลที่แท้จริง
เมื่อบริษัทเริ่มขยายตัว และมีพนักงานเพิ่มมากขึ้นก็เริ่มมีการจัดการกับทรัพยากรมนุษย์ ทั้งการรักษาพนักงานเดิมให้คงอยู่ และการสรรหาพนักงานใหม่เข้ามาให้ตรงกับวัฒนธรรมองค์กรซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น เนื่องจากสัมพันธ์กับการจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนซึ่งเป็นต้นทุนคงที่
นอกจากนั้นปัญหาการดึงดูดคนเก่ง และคนดีเข้ามาทำงานยังเป็นสิ่งที่ท้าทายบริษัทสตาร์ทอัพไม่น้อย เนื่องจากหลาย ๆ คนก่อนจะเลือกเข้ามาทำงานมักจะมองหาความมั่นคง สิทธิประโยชน์ หรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่จะได้รับ ตลอดจนระบบการจัดการภายใน ความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน หรือการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง โดยเฉพาะหากเป็นเด็กรุ่นใหม่ใน Generation นี้
การจัดการยิ่งต้องเป็นระบบ และสามารถตอบทุกคำถาม ไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใจ และมีเหตุมีผลในการจัดการ อีกทั้งต้องมีพื้นที่ให้ได้แสดงศักยภาพ หรือสร้างพื้นที่ที่สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้น
โดยแนวทางในการจัดการกับปัญหาทรัพยากรมนุษย์ที่เกิดขึ้นอาจเริ่มต้นจาก
แนวทางแรก : ระบบการจ่ายค่าตอบแทน หรือความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือการที่เด็กรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามกับระบบเดิม ๆ หลาย ๆ คนรู้สึกว่าการออกมาดำเนินธุรกิจเองได้ผลตอบแทนที่มากกว่าการทำงานในองค์กร
ฉะนั้นรูปแบบการให้ค่าตอบแทนอาจไม่ได้วัดผลจาก KPIs แต่มีระบบการจัดการที่สามารถวัด Performance ได้อย่างแท้จริง
ขจัดเรื่องอายุแต่คำนึงถึงศักยภาพมากยิ่งขึ้น
แนวทางที่สอง : ปรับรูปแบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับคนในยุคใหม่
อายุเฉลี่ยของพนักงานในบริษัทสตาร์ทอัพอาจจะอยู่ในช่วงวัยที่ไม่ถึง 30 ปี
ฉะนั้นแนวทางการจัดสวัสดิการอาจจะเป็นสวัสดิการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น
สตาร์ทอัพหลายๆแห่งมีสวัสดิการมีรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เน้นประสิทธิภาพ
การทำงาน และสร้างองค์กรให้มีความสุขด้วยสวัสดิการที่พนักงานสามารถจะออกแบบได้ในลักษณะของตัวเอง หรือกลุ่ม
คำว่าสวัสดิการของบริษัทอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการให้สิทธิประโยชน์จากบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นในลักษณะของวัฒนธรรมกลุ่มที่พนักงานสามารถสร้างได้เอง และบริษัทเป็นผู้สนับสนุนตามโอกาสที่เหมาะสม
ตัวอย่างสวัสดิการบริษัทสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งมาแล้ว 5 ปี
แนวทางที่สาม : ความก้าวหน้าของงานที่ขึ้นกับผลงานจะทำให้เกิดการแข่งขันกับตนเอง จนเกิดการพัฒนา
โครงสร้างองค์กรของสตาร์ทอัพมาในรูปแบบโครงสร้างที่แบนราบ การก้าวขึ้นเป็น Team lead ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พร้อม สตาร์ทอัพจะมีพื้นที่ให้คุณ
แนวทางที่สี่ : การเปิดใจรับฟัง และเปิดพื้นที่ให้คิด
เมื่อมีคนเก่ง และทัศนคติดีเข้ามาทำงานแล้ว หน้าที่ต่อไปคือการดึง และสร้างพื้นที่ให้ได้แสดงความสามารถ
ทั้งนี้จะขอยกตัวอย่างจากบริษัทที่หลินทำงานอยู่ ซึ่งก็คือบริษัท ฟินโนมีนา จำกัด โดยระบบการจัดการภายในมีการ Check in พนักงานในทุก ๆ เดือน
การ check in คืออะไร ?
การที่พนักงานได้พูดคุยกับหัวหน้าทีมตนเอง เพื่ออัพเดต และฟัง พร้อมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่พนักงานกังวลใจ หรือเป็นพื้นที่ในการเปิดใจซึ่งกันและกัน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนที่ยังมีความกังวลใจอยู่ว่าตนเองจะเหมาะกับการทำงานใน Start up หรือไม่
มาจากองค์กรมหาชน หรือองค์กรขนาดใหญ่จะมาทำงาน Start up ได้ไหม
แท้จริงแล้วทุกคนมีคำตอบอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไร และการเข้ามาทำงานที่ไหนที่จะให้ความพึงพอใจสูงสุด หรือตอบโจทย์ชีวิตมากที่สุด
ทุกคนล้วนต้องปรับตัวทุกครั้งกับการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ช่วงของชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นในการจะเข้ามาทำงานที่ใหม่ คือ การเปิดใจ และค่อยๆ หาคำตอบที่เราเองก็มีคำตอบอยู่แล้ว ว่าเราเหมาะกับองค์กรแบบไหน